กำเนิดภาพยนตร์ในโลก

         โทมัส อัลวา เอดิสัน (Tomas Alva Edison) นักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดประดิษฐ์ภาพยนตร์สำเร็จเป็นรายแรกเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๒ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่ภาพยนตร์ของเอดิสันมีเครื่องดูเป็นตู้แบบที่เรียกว่าถ้ำมองให้ผู้ชมดูได้ทีละคน เขาเรียกเครื่องดูภาพยนตร์ของเขาว่า “คิเนโตสโคป” (KINETOSCOPE)
         ปี ๒๔๓๘ พี่น้องสองคนแห่งตระกูล ลูมิแอร์ (Lumiere) แห่งประเทศฝรั่งเศส คือ หลุยส์ และ ออกุสท์ ได้พัฒนาภาพยนตร์แบบถ้ามองของเอดิสัน ให้สามารถฉายขยายขึ้นจอใหญ่สำหรับผู้ชมชมได้พร้อมกันครั้งละหลายร้อยคน เขาเรียกภาพยนตร์แบบของเขาว่า “ซีเนมาโตกราฟ” (CINEMATOGRAPH) พี่น้องลูมิแอร์ได้ผลิตเครื่องฉายภาพยนตร์นับร้อยเครื่องและ ฝึกช่างฉายภาพยนตร์นับร้อยคนเป็นตัวแทนของตน ตระเวนออกไปจัดฉายภาพยนตร์ เก็บค่าดูจากสาธรณขน ตามเมืองต่างๆทั่วโลก นับตั้งแต่ปี ๒๔๓๙ เป็นต้นมา
กำเนิดภาพยนตร์ในสยาม
         ในปี ๒๔๓๙ ครั้งพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จฯ ประพาสสิงคโปร์และชวา พระองค์ได้ทอดพระเนตรภาพยนตร์ แบบถ้ำมองคิเนโตสโคปของเอดิสัน ซึ่งมีผู้นำมาเล่นถวาย ณ ตำหนักที่ประทับในสิงคโปร์ เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ปีนั้น พระองค์ทรงเป็นคนไทยพระองค์แรกที่ได้ชมภาพยนตร์แบบถ้ำมองของเอดิสัน
         ต่อมาปี ๒๔๔๐ นาย เอส.จี. มาร์คอฟสกี (S.G. Marchovsky) กับคณะ ได้นำภาพยนตร์ฉายขึ้นจอ ซีเนมาโตกราฟของลูมิแอร์ เข้ามาจัดฉายเก็บค่าดูจากสาธรณชน เป็นครั้งแรกในสยาม เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน โดยจัดฉายที่โรงละครหม่อมเจ้าอลังการ ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนเจริญกรุง ใกล้ประตูสามยอด
         ในระหว่างที่พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จฯ ประพาสประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป เมื่อปี ๒๔๔๐ ซึ่งนับว่าเป็นประวัติการณ์ที่สำคัญ เพราะทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินจากทวีปเอเชียพระองค์แรกที่เสด็จฯ เยือนแผ่นดินทวีปยุโรป ช่างถ่ายภาพยนตร์รุ่นแรกของโลก ได้ถ่ายภาพยนตร์บันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนั้นไว้สองสามราย เช่น
         ในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม เมื่อพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จฯถึงกรุงเบิร์น นครหลวงของสวิสเซอร์แลนด์ ช่างถ่ายภาพยนตร์คนหนึ่งของบริษัทลูมิแอร์ ฝรั่งเศส ได้บันทึกภาพยนตร์การเสด็จฯ ถึงกรุงเบิร์นของพระเจ้ากรุงสยามเอาไว้ ๑ ม้วน ซึ่งเวลานั้นภาพยนตร์ ๑ ม้วน จะกินเวลาฉายเพียงประมาณ ๑ นาทีนับได้ว่าเป็นการถ่ายภาพยนตร์ม้วนแรกในโลกที่เกี่ยวกับชาติไทย
         อีกราวเดือนเศษต่อมา คือในวันที่ ๑๓ กรกฎาคม  ปีนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จฯ ถึงกรุงสตอกโฮล์ม นครหลวงของประเทศสวีเดน ช่างถ่ายภาพยนตร์ชาวสวีเดนคนหนึ่ง ได้ถ่ายภาพยนตร์บันทึกเหตุการณ์พิธีรับเสด็จที่ท่าเรือหน้าพระราชวังหลวงกลางกรุงสตอกโฮล์มเอาไว้ ๒ ม้วน
กำเนิดการสร้างภาพยนตร์ในสยาม
         การถ่ายทำภาพยนตร์ในสยามเริ่มขึ้นโดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทองแถมถวลยวงศ์ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ พระเจ้าน้องยาเธอในรัชกาบที่ ๕  ซึ่งทรงสั่งซื้อกล้องถ่ายภาพยนตร์และอุปกรณ์เข้ามาสยาม เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงตามเสด็จฯ พระพุทธเจ้าหลวง ประพาสยุโรปครั้งแรกเมื่อปี ๒๔๔๐ โดยทรงเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เองเป็นการส่วนพระองค์ ตั้งแต่เมื่อปี ๒๔๔๓ เป็นต้นมา จนสิ้นแผ่นดินรัชกาลที่ ๕ ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ที่ทรงถ่ายคือการบันทึกพระราชกรณียกิจในพระราชพิธีสำคัญๆ ของพระพุทธเจ้าหลวง นอกจากทรงถ่ายภาพยนตร์แล้ว ยังทรงเป็นผู้จัดฉายภาพยนตร์เก็บค่าดูจากสาธรณชน โดยเฉพาะในงานออกร้านขายของประจำปีของวัดเบญจมบพิตรฯ
         นอกจากพระองค์เจ้าทองแถมถวลยวงศ์แล้ว ผู้ถ่ายภาพยนตร์ในสยามอีกรายหนึ่งคือ พระศรัทธาพงศ์ (ต่วย) เจ้าของโรงหนังรัตนปีระกา
         โรงหนังญี่ปุ่น ซึ่งในปี ๒๔๕๓ ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระพุทธเจ้าหลวงให้ประดับตราแผ่นดินได้ชาวสยามจึงเรียกว่าโรงหนังญี่ปุ่นหลวง ก็มีช่างถ่ายภาพยนตร์ของตรเอง ชื่อนายอิ ทำหน้าที่ถ่ายภาพยนตร์บันทึกเหตุการณ์สำคัญๆ ในสยาม สำหรับฉายที่โรงหนังญี่ปุ่น
         ปี ๒๔๕๓ คณะนักถ่ายภาพยนตร์จากบริษัท เบอร์ตันโฮล์ม แห่งสหรัฐอเมริกา เดินทางเข้ามาถ่ายภาพยนตร์แสดงชีวิตความเป็นอยู่และขนบธรรมเนียมของชาวสยาม
         ปี ๒๔๖๕ ในแผ่นดินรัชกาลที่ ๖ พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระเจ้าน้องยาเธอในรัชกาลนั้น ซึ่งขณะนั้นทรงเป็นผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง ได้ทรงจัดตั้ง กองภาพยนตร์เผยแพร่ข่าว ขึ้นในกรมรถไฟหลวง เพื่อทำหน้าที่ผลิตภาพยนตร์ข่าวสารและสารคดีเผยแพร่กิจการของกรมรถไฟ ตลอดจนกิจการของกระทรวงทบวงกรมอื่นๆ ทั้งมวล รวมไปถึงบริการรับจ้างผลิภาพยนตร์ให้แก่เอกชนทั่วไปด้วย นับได้ว่าเป็นการจัดตั้งหน่วยงานผลิตภาพยนตร์อย่างเป็นกิจลักษณะและใหญ่โตระดับชาติ
         กองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าวได้ทำหน้าที่เป็นศูนย์ผลิตภาพยนตร์ ข่าวสารและสารคดีของชาติ นับแต่ปี ๒๔๖๕ เป็นลำดับต่อมาเมื่อกิจการสร้างภาพยนตร์เรื่องบันเทิงของไทยเกิดขึ้นในปี ๒๔๗๐ ก็ได้อาศัยบุคลากรและอุปกรณ์ของกองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าวนี้เองเป็นฐานสำคัญ
         เมื่อเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศตั้งแต่ปี ๒๔๗๕ แล้ว กิจการของกองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าวค่อยๆลดบทบาทลง เพราะรัฐบาลใหม่ในระบอบประชาธิปไตย ได้จัดตั้งสำนักงานโฆษณาการ (คือ กรมประชาสัมพันธ์ในเวลาต่อมา) และตั้งแผนกภาพยนตร์ขึ้นในสำนักงานนี้ เพื่อทำหน้าที่ผลิตภาพยนตร์เผยแพร่กิจการของรัฐบาล
         ในแผ่นดินรัชกาลที่ ๗ เป็นยุคที่การถ่ายทำภาพยนตร์สมัครเล่นกลายเป็นงานอดิเรกที่นิยมกันขึ้นในหมู่เจ้านาย ขุนนางและพ่อค้าคหบดีในสยาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ โปรดภาพยนตร์อย่างยิ่ง และทรงเป็นนักถ่ายภาพยนตร์สมัครเล่นที่สำคัญของสยามและของโลก ทรงเป็นสมาชิกสันนิบาตภาพยนตร์สมัครเล่นแห่งโลก และโปรดเกล้าฯให้จัดตั้ง สมาคมภาพยนตร์สมัครเล่นแห่งสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ขึ้นในปี ๒๔๗๓ เพื่อนเป็นศูนย์กลางชุมนุมพบปะแลกเปลี่ยนความรู้และผลงานระหว่างนักถ่ายภาพยนตร์สมัครเล่นทำให้วงการถ่ายภาพยนตร์ของสยามคึกคักเข้มแข็งอย่างยิ่ง แต่หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแล้วสมาคมนี้ก็ยุติไปโดยปริยาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น