“ก่อนหน้านี้ผมอยากเป็นนักเขียนไร้สัญชาติ แต่ผมเป็นนักเขียนญี่ปุ่น ที่นี่คือแผ่นดินของผม และนี่คือรากของผม เราไม่สามารถหนีไปจากแผ่นดินเกิดของเราได้”

แม้ว่าฮารูกิ มูราคามิ จะไม่ใส่ใจกับความหมายลึกล้ำที่ซ่อนเร้นอยู่ แต่เขาคงไม่ปฏิเสธวินาทีแห่งความประหลาดล้ำของชั่วขณะที่เขาตัดสินใจเขียนนวนิยายเรื่องแรกได้
เดือนเมษายน ปี 1978 ขณะที่เขากำลังนั่งดูเบสบอลอยู่บนแสตนด์ ณ สนามเมจิ-จินกุในโตเกียวพร้อมกระป๋องเบียร์ในมือ เวลานั้นมูราคามิอายุย่างเข้าสูวัย 30 ปี และได้ดำเนินธุรกิจแจ๊สคาเฟ่กับภรรยาของเขา-โยโกะ มาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว
แบตเตอร์ชาวอเมริกันนามเดฟ ฮิลตัน สังกัดทีมยาคูลท์ สวอลโล่ว์ ก้าวสู่เพลท หวดลูกจากพิชท์แรกไปทางซ้ายของสนามแล้วไปถึงเบสที่สองได้อย่างไม่มีอุปสรรค ขณะที่แบตเตอร์หวดลูกบอลนั้น มูราคามิก็รู้ทันทีว่าเขาสามารถเขียนหนังสือได้
“จู่ๆ ผมก็รู้สึกขึ้นมาว่าตัวเองสามารถเขียนได้น่ะครับ” เขาบอกขณะนั่งอยู่ที่ออฟฟิศในกรุงโตเกียว ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสนามดังกล่าวมากนัก
นวนิยายเล่มแรกของเขา Hear the Wind Sing (สดับลมขับขาน นพดล เวชสวัสดิ์ แปล สำนักพิมพ์มติชน) ใช้ชื่อจากเรื่องสั้นของทรูแมน คาโพที และมีเนื้อเพลงของวงบีช บอยส์ อยู่บนปกหลัง ได้ถูกพิมพ์ขึ้นในปีเดียวกันกับวินาทีประหลาดล้ำนั้น งานเขียนของเขาไม่ได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมญี่ปุ่นเท่าใดนัก ทว่ามาจากวรรณกรรมต่างชาติที่เขาอ่านในวัยเยาว์แถบท่าเรือโกเบอันเป็นที่ที่เขาเติบโต ผนวกกับอิทธิพลจากดนตรีแจ๊สและร็อคที่โปรดปรานสมัยยังเป็นนักศึกษาอยู่โตเกียวต่างหาก
ใจของเขาไม่ได้อยู่ที่ญี่ปุ่นนานก่อนที่เขาจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศเสียอีก
“งานของมูราคามิไม่ได้สะท้อนถึงวรรณกรรมคลาสสิกของญี่ปุ่น แต่มันสะท้อนถึงวัฒนธรรมป็อบ โดยเฉพาะจากอเมริกา” โมโตยูกิ ชิบาตะ ซึ่งรู้จักกับมูราคามิหลายปี และยังเป็นศาสตราจารย์เกี่ยวกับวรรณกรรมอเมริกันแห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวกล่าวไว้ นอกจากนี้เขายังตบท้ายด้วยว่า
“มูราคามิเขียนวรรณกรรมจากเรื่องเหล่านี้ได้เก่งมาก”
ฮารูกิ มูราคามิ ได้รับการต้อนรับในเวทีนานาชาติอย่างที่ไม่เคยมีนักเขียนชาวญี่ปุ่นคนใดเคยได้รับมา
ก่อนหนังสือของเขาได้รับการแปลกว่า 40 ภาษา (ในประเทศญี่ปุ่น เขายังแปลวรรณกรรมอเมริกันชิ้นคุณภาพหลานชิ้น ล่าสุด The Great Gatsby ที่เขาแปลได้กลายเป็นหนังสือขายดีนานถึง 7 สัปดาห์) เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ณ กรุงปราก เขาได้รับรางวัล Kafka Prize ซึ่งเป็นรางวัลอุทิศให้แก่นักเขียนที่ “มีผลงานได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง โดยไม่มีพรมแดนเรื่องเชื้อชาติ ภาษา และวัฒนธรรมมาขวางกั้น”
คงจะนึกถึงผู้ที่เหมาะสมกว่าเขาได้ยากทีเดียว ปัจจุบันนี้ มูราคามิแบ่งเวลาทำงานอยู่ทั้งในโตเกียวและมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ
“งานเขียนชิ้นแรกของมูราคามิที่ผมแปลลงใน The New Yorker ทางผู้พิมพ์ให้ผมใส่คำว่า “วรรณกรรมญี่ปุ่น” ไว้ข้างบนเลย” ฟิลิป แกเบรียล ศาสตราจารย์ของแผนกเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยอาริโซนากล่าวไว้
“งานของเขาไม่ได้เจาะจงถึงญี่ปุ่นเลย คนอ่านจึงไม่แน่ใจว่าเขามาจากไหน”
ตามธรรมชาติแล้ว มูราคามิมักให้น้ำหนักกับโลกอีกส่วนหนึ่งที่ไกลออกไปมาโดยตลอด สะท้อนให้เห็นจากการเลือกอ้างถึงวรรณกรรมต่างประเทศในงานของเขา (ซึ่งอาจทำให้พ่อแม่ของเขาน้อยใจ เนื่องจากทั้งคู่เป็นครูสอนวรรณกรรมญี่ปุ่น) และสะท้อนออกมาในงานที่จงใจรักษาระยะห่างจากวงการวรรณกรรมญี่ปุ่นเอาไว้ รวมทั้งวิถีในการดำเนินชีวิตที่ “อนามัย” ของเขา
“นักเขียนและศิลปินมักจะถูกมองว่าชอบอยู่อย่างเซอร์ๆ มีชีวิตแบบไม่ค่อยใส่ใจสุขภาพครับ” มูราคามิกล่าว “แต่ผมอยากจะดำเนินชีวิตที่ต่างออกไป”

ทุกวัน เขาจะตื่นนอนเวลาตีสี่เพื่อเขียนหนังสือเป็นเวลาหลายชั่วโมง ก่อนที่จะไปว่ายน้ำหรือวิ่งจ๊อกกิ้ง ไปจนถึงวิ่งมาราธอนหรือกระทั่งไตรกีฬาเลยทีเดียว เขาบอกว่าต้องออกกำลังกายเพื่อสะสมแรงไว้ในการทำงานเขียนซึ่งต้องใช้พลังสูงมาก และผลงานของเขาก็พิสูจน์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เขายังบอกว่าการออกกำลังกายยังช่วยให้เขารักษาน้ำหนักเอาไว้ได้-ทั้งที่ขณะนี้อายุ 58 แล้ว แต่เขายังน้ำหนักเท่าเมื่อตอนอายุยี่สิบปลายๆ!
ธีมของเรื่องและคนอ่านก็เป็นส่วนที่ทำให้เขายังรู้สึกเยาว์วัยอยู่เสมอ-เอียน บูรูมา เคยเขียนไว้ว่า
นวนิยายของมูราคามิได้แสดงออกถึง “การหันหลังให้กับสภาวะต้องพึ่งพิงครอบครัว และบ่อยครั้งเป็นความเดียวดาย เป็นการประกอบไปด้วยความพยายามในการอยู่ด้วยตนเองของวัยรุ่น”
มูราคามิเคยพูดกลั้วหัวเราะไว้ว่า “ลูกสาวและลูกชายหลายๆ คนของเพื่อนผมอ่านงานของผม และพวกเขาก็บอกว่าอยากจะพบคนเขียน แต่แล้วพวกเขาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าคนเขียนนั้นอายุพอๆ กับพ่อแม่เลยทีเดียว!”
ในขณะที่อายุกำลังดำเนินถึงรอบที่ห้า ในใจของมูราคามิมีบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป สถานภาพการเป็นนักเขียนของเขาได้รับการยอมรับ นวนิยายเรื่อง After Dark ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนพฤษภาคมได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วยยอดพิมพ์มากกว่าหนึ่งแสนเล่ม อย่างไรก็ตาม แม้จะประสบความสำเร็จในเวทีนานาชาติ และมีลูกศิษย์ลูกหาทั้งจากซิดนีย์ไปจนถึงซานฟรานซิสโก มูราคามิก็เริ่มเบนเรื่องราวของต่างชาติมาสู่โลกของพ่อแม่และแผ่นดินเกิด ซึ่งแสดงให้เห็นจาก Kafka on the Shore (คาฟกา วิฬาร์ นาคาตะ นพดล เวชสวัสดิ์ แปล สำนักพิมพ์มติชน) ที่แม้จะมีนายพลแซนเดอร์สโชว์หรา แต่ก็ไม่สามารถสะกดการเบนเข็มสู่ญี่ปุ่นของมูราคามิได้ เพราะเป็นการจมดิ่งเข้าสู่ห้วงลึกลับแห่งชินโต After Dark เป็นเรื่องราวแห่งหนึ่งคืนในชิบูย่า-ย่านที่ไม่เคยหลับไหลของกรุงโตเกียว มูราคามิเดินทางกลับบ้านเกิดแล้ว!
กลิ่นอายแห่งความขบถของวัยรุ่นที่มีในงานชิ้นแรกๆ ของมูราคามิได้ลดลงไป ปัจจุบันนี้เขายึดหลัก “ความรับผิดชอบต่อสังคม” ในงานของตัวเอง
“ผมมีพรสวรรค์ในการเขียนเรื่องเหล่านี้น่ะครับ” เขากล่าวถึงงานเรื่อง Underground ในปี 1997 ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการสังหารหมู่ด้วยแก๊สในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินของโตเกียว หนังสือเล่มนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพนักเขียนของเขาทีเดียว
“ในเวลาเดียวกัน ผมก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย” ถึงแม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่ต้องการพูดถึงเรื่องการเมืองญี่ป่น แต่เขากลับพูดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกในบทสนทนาครั้งนี้ คิ้วหนายักไปด้วยขณะที่เป็นห่วงถึง “นักการเมืองผู้ซึ่งเขียนประวัติศาสตร์ใหม่” และห่วงถึงรัฐบาลใหม่ของนายกฯ ชินโซ อาเบะ ที่กำลังจะพาให้ประเทศลืมความชั่วร้ายของสงคราม ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเป็นแบคกราวนด์ในงานของมูราคามิมาโดยตลอด และแม้ในนวนิยายที่ดีที่สุดของเขาในปี 1994 Wind-Up Bird Chronicle (บันทึกนกไขลาน นพดล เวชสวัสดิ์ แปล สำนักพิมพ์มติชน)ได้วิเคราะห์ความคิดต่างๆ ที่นำญี่ปุ่นไปสู่สงครามแห่งการทำลายล้าง-แต่ในเวลานี้เขาต้องการการลงมือกระทำ
“ก่อนหน้านี้ผมอยากเป็นนักเขียนไร้สัญชาติ” เขายอมรับ “แต่ผมเป็นนักเขียนญี่ปุ่น ที่นี่คือแผ่นดินของผม และนี่คือรากของผม เราไม่สามารถหนีไปจากแผ่นดินเกิดของเราได้” แม้เขาจะไม่ได้จำเพาะเจาะจงลงไป แต่ก็ได้ใบ้ว่า นวนิยายเรื่องต่อไปของเขาจะเป็นเรื่องของ “ชาติญี่ปุ่น” อย่างไรก็ตาม แนวทางเดิมของมูราคามิก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะในงานของเขาหรือวิถีในการดำเนินชีวิต
“ผมก็เหมือนเดิมนั่นแหละครับ... อิสระ คือผมเป็นชาวญี่ปุ่น แต่ผมก็เป็นตัวเองด้วย” เราคงจะต้องฟังหูไว้หู แต่มันคงไม่มีอะไรผิดหากมีการเมือง การมีส่วนร่วมรับผิดชอบสังคม และความเป็นญี่ปุ่นในตัวมูราคามิและงานของเขาไม่ใช่หรือ?
ตัวตนของเขาเช่นนี้เองที่แฟนๆ ทั่วโลกค้นหาและติดตาม มูราคามิคาดหวังว่าจะเขียนหนังสือจนกระทั่งอายุอย่างน้อย 80 และหวังให้คนทั่วโลกติดตามงานเขาต่อไป
จอห์น อัพไดก์ กล่าวว่า มูราคามิเป็น “นักวาดผู้นุ่มนวลในดินแดนที่ไร้คำนิยาม” บางทีนั่นอาจจะเป็นศักยภาพในการเขียนที่สามารถครองใจคนทั่วโลกได้
“เวลาผมเขียนนิยาย ผมจมลงไปในที่ซึ่งไร้คำนิยาม” มูราคามิกล่าว
จะมีอะไรสากลไปกว่าการเล่าถึงสิ่งต่างๆ อันไร้ชื่อในฝันยามหลับของคนเรา? มูราคามิไม่ได้ให้คำนิยามกับดินแดนซึ่งไร้คำอธิบายนั้น เขาปล่อยให้เรื่องราวเหล่านั้นดำเนินไป แต่ให้เพื่อนเดินทางมาแก่คนอ่าน, นั่นคือน้ำเสียงของเขา เพื่อที่เราจะได้ไม่เผชิญหน้ากับมันเพียงลำพัง
เออิโซ มัทสุมูระ ช่างภาพผู้รู้จักมูราคามิตั้งแต่เขาเปิดแจ๊สคาเฟได้เล่าถึงน้ำเสียงนั้น เขามีปัญหาเรื่องการได้ยิน ตามปกติจึงต้องอ่านปากในการสนทนา ยกเว้นญาติและเพื่อนสนิท แต่เขากลับได้ยินมูราคามิอย่างสมบูรณ์ที่สุด
เขาว่า “ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร อาจจะเป็นแรงสั่นสะเทือน...หรืออาจเป็นอย่างอื่น”
มันอาจฟังดูเป็นภาษากวีเหลือเกิน แต่สีหน้าเปี่ยมสุขของมัทสุมูระไม่ได้โกหก
“ผมได้ยินเสียงเขา มันดังกังวานอยู่เสมอ”
..........................
บทความจากนิตยสาร TIME Asia สัปดาห์ที่สอง เดือนสิงหาคม 2007
รายงานโดย Bryan Walsh
จาก onopen.com - โอเพ่นออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น