ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑
เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย พ.ศ. ๒๕๕๑”
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
“ศิลปะร่วมสมัย” หมายความว่า ศิลปะที่สร้างสรรค์จากความคิดและประยุกต์อย่างบูรณาการ โดยมีวัฒนธรรมเป็นฐานรากสำคัญในการสร้างสรรค์เพื่อรับใช้สังคม
“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย
“กรรมการ” หมายความว่า กรรมการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย
“ผู้อำนวยการ” หมายความว่า ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย
“ผู้ขอรับการส่งเสริม” หมายความว่า ผู้ขอรับการอุดหนุนหรือกู้ยืมเงินจากกองทุน
“กองทุน” หมายความว่า กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย
“สถาบันอุดมศึกษา” หมายความว่า สถาบันอุดมศึกษาที่มีการสอนด้านศิลปะร่วมสมัย
“สำนักงาน” หมายความว่า สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
“รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
คณะกรรมการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย
มาตรา ๕ ให้มีคณะกรรมการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยคณะหนึ่ง ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเป็นรองประธานกรรมการ เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ อธิบดีกรมศิลปากรและผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านศิลปะร่วมสมัยจำนวนแปดคน และนักวิชาการด้านศิลปะร่วมสมัยจากสถาบันอุดมศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนสี่คน เป็นกรรมการ
ให้ผู้อำนวยการเป็นกรรมการและเลขานุการ
มาตรา ๖ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้
(๑) มีสัญชาติไทย
(๒) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
(๓) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๔) ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
มาตรา ๗ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปีนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งและอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่ต้องไม่เกินสองวาระติดต่อกัน
ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่
ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว
มาตรา ๘ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๗ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา ๖
(๔) คณะรัฐมนตรีให้ออกเพราะบกพร่อง หรือไม่สุจริตต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือหย่อนความสามารถ
มาตรา ๙ การประชุมของคณะกรรมการ ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม
ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานกรรมการเป็นประธานในที่ประชุม ถ้าประธานกรรมการและรองประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการซึ่งมาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุมสำหรับการประชุมคราวนั้น
การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งเสียงในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
ให้มีการประชุมคณะกรรมการไม่น้อยกว่าปีละสี่ครั้ง
มาตรา ๑๐ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) เสนอนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาศิลปะร่วมสมัยต่อคณะรัฐมนตรี
(๒) กำหนดแนวทางการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย
(๓) กำหนดแนวทางในการจัดทำและให้ความเห็นชอบแผนงานและยุทธศาสตร์เพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัยทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค และระดับชาติ และเพื่อส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานในระดับนานาชาติ
(๔) แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุน
(๕) วางระเบียบเกี่ยวกับลักษณะของโครงการ การเสนอและการพิจารณาอนุมัติโครงการหลักเกณฑ์ และวิธีการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการที่ได้รับการส่งเสริมจากกองทุน
(๖) วางระเบียบเกี่ยวกับการบริหารกองทุน การจัดหาผลประโยชน์และการจัดการกองทุน โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
(๗) วางระเบียบเกี่ยวกับการรับเงิน การจ่ายเงิน และการเก็บรักษาเงินกองทุน
(๘) วางระเบียบเกี่ยวกับการจัดทำรายงานสถานะการเงินและการบริหารกองทุน
(๙) วางระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๑๑ คณะกรรมการจะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาและเสนอความเห็นหรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่มอบหมายแล้วรายงานต่อคณะกรรมการก็ได้
ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๙ มาใช้บังคับแก่การประชุมของคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม
มาตรา ๑๒ ให้สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยรับผิดชอบในงานธุรการและงานวิชาการของคณะกรรมการ และให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) จัดทำแผนงานและยุทธศาสตร์เพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค และระดับชาติ และเพื่อให้การส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานในระดับนานาชาติเสนอคณะกรรมการเพื่อให้ความเห็นชอบ
(๒) จัดเก็บและเผยแพร่ข้อมูลของผู้ขอรับการส่งเสริมและโครงการที่ได้รับการส่งเสริม
(๓) สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค และระดับชาติในการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย
(๔) สนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือ การดำเนินงาน การเผยแพร่และแลกเปลี่ยนทางด้านศิลปะร่วมสมัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ
มาตรา ๑๓ ให้กรรมการและอนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
การส่งเสริมโครงการศิลปะร่วมสมัย
มาตรา ๑๔ ผู้ประกอบอาชีพหรือดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปะร่วมสมัยไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา กลุ่มบุคคล มูลนิธิ สมาคม หรือสถานศึกษา ถ้าประสงค์จะขอรับการอุดหนุนหรือกู้ยืมเงินจากกองทุนเพื่อดำเนินงานด้านศิลปะร่วมสมัย ให้ยื่นคำขอรับการส่งเสริมต่อสำนักงาน โดยจัดทำโครงการขอรับการส่งเสริมซึ่งต้องมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
(๑) ชื่อผู้ขอรับการส่งเสริม ชื่อสมาชิกทั้งหมดของผู้ขอรับการส่งเสริมในกรณีที่เป็นกลุ่มบุคคลชื่อกรรมการบริหารในกรณีที่เป็นมูลนิธิหรือสมาคม หรือชื่อผู้บริหารในกรณีที่เป็นสถานศึกษา
(๒) รายละเอียดแห่งสินทรัพย์ หนี้สิน และภาระผูกพันต่างๆ ของผู้ขอรับการส่งเสริม
(๓) รายละเอียดของโครงการ ได้แก่ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ เป้าหมาย วิธีดำเนินงานระยะเวลาในการดำเนินโครงการ แผนปฏิบัติการ สถานที่ ผู้รับผิดชอบ งบประมาณ และผลที่คาดว่าจะได้รับ
(๔) ชื่อของผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินหรือประโยชน์อื่นพร้อมรายละเอียดในการให้การสนับสนุน ถ้ามี
(๕) รายละเอียดอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด
ให้สำนักงานจัดทำระบบทะเบียนผู้ได้รับการส่งเสริมและโครงการที่ได้รับการส่งเสริมไว้เป็นข้อมูล
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิขอรับการส่งเสริม การตรวจสอบคุณสมบัติ การยื่นคำขอรับการส่งเสริมและการขึ้นทะเบียนผู้ได้รับการส่งเสริมให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๕ ในกรณีที่สำนักงานเห็นว่ากิจกรรมทางศิลปะร่วมสมัยใดเป็นประโยชน์ต่อแผนงานหรือยุทธศาสตร์ตามมาตรา ๑๐ (๓) ให้จัดทำเป็นโครงการเสนอต่อคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อขอรับการส่งเสริมจากกองทุน
มาตรา ๑๖ โครงการที่จะได้รับการส่งเสริม ต้องเป็นโครงการศิลปะร่วมสมัยที่คณะกรรมการเห็นว่าเป็นประโยชน์ในด้านการศึกษา วัฒนธรรม และสังคมในลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นการสร้างเสริมภูมิปัญญาทางศิลปะร่วมสมัย
(๒) เป็นการสร้างสรรค์ สะสม และเพิ่มคุณค่าทางศิลปะร่วมสมัยให้แก่สังคมในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค ระดับชาติ หรือระดับนานาชาติ
(๓) เป็นการพัฒนาให้เกิดคุณประโยชน์ต่อชาติในด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและศิลปะร่วมสมัย
(๔) เป็นการพัฒนาความรู้ให้ก้าวทันต่อความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกาภิวัตน์ทางด้านศิลปะร่วมสมัย
(๕) เป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย
ลักษณะของโครงการ การเสนอและการพิจารณาอนุมัติโครงการให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย
มาตรา ๑๗ ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยกระทรวงวัฒนธรรม เรียกว่า “กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนเกี่ยวกับการให้การอุดหนุนหรือให้กู้ยืมเงินแก่ผู้ขอรับการส่งเสริม ตลอดจนการดำเนินการอื่นเกี่ยวกับการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๑๘ กองทุนประกอบด้วย
(๑) เงินทุนประเดิมที่รัฐบาลจัดสรรให้
(๒) เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
(๓) เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคหรือมอบให้
(๔) เงินที่ได้รับจากต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ
(๕) เงินหรือทรัพย์สินที่ตกเป็นของกองทุนหรือที่กองทุนได้รับตามกฎหมาย
(๖) ดอกผลหรือรายได้ของกองทุน รวมทั้งผลประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญา
(๗) เงินที่ได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินของกองทุนหรือที่ได้จากการจัดหารายได้
(๘) เงินตอบแทนที่ได้จากการให้การอุดหนุนหรือให้กู้ยืมเงินกองทุนไปลงทุนดำเนินงาน
เงินตอบแทนตาม (๘) ให้เป็นไปตามระเบียบของคณะกรรมการ
มาตรา ๑๙ เงินและดอกผลตามมาตรา ๑๘ ไม่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
มาตรา ๒๐ การบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเข้ากองทุน ให้ผู้บริจาคนำไปหักลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีได้ตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๒๑ ให้มีคณะกรรมการบริหารกองทุนคณะหนึ่ง ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะกรรมการแต่งตั้งจากบุคคลดังต่อไปนี้
(๑) ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ เป็นประธานกรรมการคนหนึ่ง
(๒) ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการเงิน การคลัง หรือกองทุน จำนวนสองคน เป็นกรรมการ
(๓) ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านศิลปะร่วมสมัย จำนวนสี่คน เป็นกรรมการ
ให้ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เป็นรองประธานกรรมการ
ให้ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายสัมพันธ์และแหล่งทุน สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยเป็นกรรมการและเลขานุการกองทุน และให้แต่งตั้งข้าราชการในศูนย์เครือข่ายสัมพันธ์และแหล่งทุนอีกสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ
มาตรา ๒๒ คณะกรรมการบริหารกองทุนมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปีนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่ต้องไม่เกินสองวาระติดต่อกัน
ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๗ วรรคสองและวรรคสาม มาตรา ๘ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๑ มาใช้บังคับกับคณะกรรมการบริหารกองทุนโดยอนุโลม
มาตรา ๒๓ คณะกรรมการบริหารกองทุนมีอำนาจและหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) พิจารณาอนุมัติโครงการที่ขอรับการส่งเสริมจากกองทุน
(๒) บริหารกองทุน รวมทั้งดำเนินการเกี่ยวกับการจัดหาผลประโยชน์และการจัดการกองทุนให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
(๓) รายงานสถานะการเงินและการบริหารกองทุนต่อคณะกรรมการตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา ๒๔ ในการพิจารณาโครงการ คณะกรรมการบริหารกองทุนอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประกอบด้วยบุคคลที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์เกี่ยวกับโครงการที่ขอรับการส่งเสริมเป็นผู้ตรวจสอบกลั่นกรองโครงการและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อพิจารณาอนุมัติ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด
การพิจารณาอนุมัติโครงการของคณะกรรมการบริหารกองทุนให้พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับโครงการ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นก็ให้ขยายได้ไม่เกินสิบห้าวัน
ในกรณีที่ไม่ได้รับการส่งเสริม ให้ผู้ขอรับการส่งเสริมมีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งผลการพิจารณา
ให้คณะกรรมการพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาภายในสามสิบวัน คำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้ถือเป็นที่สุด
มาตรา ๒๕ ให้ผู้อำนวยการมีอำนาจพิจารณาอนุมัติโครงการที่มีวงเงินไม่เกินสองแสนบาทตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการบริหารกองทุนกำหนด
เมื่อผู้อำนวยการพิจารณาอนุมัติโครงการตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้รายงานคณะกรรมการบริหารกองทุนทราบในการประชุมครั้งถัดไป
มาตรา ๒๖ ภายหลังได้รับแจ้งผลการพิจารณาอนุมัติโครงการแล้ว ผู้ได้รับการส่งเสริมที่ได้รับเงินกู้ยืมจากกองทุนต้องทำสัญญาเป็นหนังสือกับคณะกรรมการบริหารกองทุน ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารกองทุนกำหนด ซึ่งต้องมีรายละเอียดอย่างน้อยดังต่อไปนี้
(๑) จำนวนเงินที่กู้ยืม
(๒) หลักประกัน ในกรณีที่เป็นการกู้ยืมเงินในจำนวนเกินกว่าที่คณะกรรมการบริหารกองทุนกำหนด
(๓) อัตราดอกเบี้ย
(๔) วิธีการและกำหนดเวลาในการชำระเงินกู้คืน
(๕) ผลประโยชน์ตอบแทนอื่นใด
มาตรา ๒๗ ให้คณะกรรมการบริหารกองทุนจัดทำงบดุลและบัญชีทำการส่งผู้สอบบัญชีตรวจสอบภายในเก้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีทุกปี
ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินหรือผู้สอบบัญชีรับอนุญาตที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้ความเห็นชอบเป็นผู้สอบบัญชีของกองทุนทุกรอบปี แล้วทำรายงานผลการสอบบัญชีของกองทุนเสนอต่อคณะกรรมการ
มาตรา ๒๘ ให้สำนักงานวางและรักษาไว้ซึ่งระบบบัญชีอันถูกต้อง แยกตามประเภทส่วนงานที่สำคัญ มีสมุดบัญชีลงรายการแยกตามประเภทของสินทรัพย์ หนี้ ทุน รายได้ และค่าใช้จ่ายตามความเป็นจริง พร้อมด้วยข้อความอันเป็นที่มาของรายการนั้นๆ และให้มีการตรวจสอบบัญชีภายในเป็นประจำ
การบันทึกรายการในสมุดบัญชีตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ศิลปะร่วมสมัยมีส่วนในการสร้างสรรค์ และคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมของชาติให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะผลงานทางศิลปะนอกจากจะทำให้เยาวชนของชาติเกิดการเรียนรู้การเข้าถึงคุณค่าและสุนทรียภาพของศิลปะแล้ว ยังเป็นการพัฒนาและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีคุณธรรม สร้างความสมานฉันท์ และมีความสุขทางจิตใจโดยทางตรงหรือทางอ้อมประกอบกับศิลปะร่วมสมัยเป็นทุนและพลังในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติให้ดีขึ้น ดังนั้น สมควรส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยโดยสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ ปลูกจิตสำนึก ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและจัดตั้งกองทุนขึ้นโดยความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนผู้สร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น